3 สายพันธุ์กัญชายอดนิยม ปลูกง่าย ได้สรรพคุณตามต้องการ

คำว่า “มาลีฮวนน่า (Marijuana)” ที่ใช้เรียกกัญชานั้นเป็นคำสแลงที่นิยมเรียกเมื่อนำดอกของพืชมาสูบ ส่วนชื่อตระกูลที่แท้จริงของพืชชนิดนี้คือ Cannabis ซึ่งจัดอยู่ในพรรณไม้พุ่มเตี้ย และจะเริ่มมีช่อดอกเมื่อมีอายุได้ 90-120 วัน ช่วงเวลานี้เองที่จะสามารถคัดแยกเพศของดอกได้ว่าเพศผู้หรือเพศเมีย และในประเทศไทยของเรามีสายพันธุ์ยอดนิยมอยู่ 3 สายพันธุ์ด้วยกัน ซึ่งเราได้รวบรวมข้อมูลมานำเสนอให้แล้ว

3 สายพันธุ์กัญชา ที่ได้รับความนิยมปลูก พร้อมสรรพคุณทางยา

3 สายพันธุ์กัญชา ที่ได้รับความนิยมปลูก พร้อมสรรพคุณทางยา

3 สายพันธุ์กัญชาที่นำมาแนะนำให้รู้จักกันในบทความนี้ คือสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมปลูกทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาของภาคการเกษตรที่นำทั้ง 3 สายพันธุ์นี้มาผสมกัน เพื่อได้สรรพคุณทางยาที่ตรงความต้องการและมีความหลากหลายมากขึ้น โดย 3 สายพันธุ์หลักมีดังต่อไปนี้

1. ซาติวา (Cannabis Sativa)
สายพันธุ์ถูกตั้งชื่อโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ. 2296 นามว่า “คาโรลุส ลินเนียส (Carolus Linnaeus)” โดยการค้นพบพืชสมุนไพรชนิดนี้ในครั้งแรก พบอยู่ในบริเวณประเทศที่อยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตร เช่น ประเทศบริเวณตอนกลางของทวีปแอฟริกา และบริเวณทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น โดยคาโรลุส ลินเนียสได้ตั้งชื่อพืชกัญชาชนิดนี้ว่า “ซาติวา” ซึ่งมาจากภาษาละตินที่แปลว่า “เพาะปลูก”

สายพันธุ์นี้เมื่อโตเต็มที่จะมีลำต้นที่หนาและมีความสูงประมาณ 6 เมตร มีใบเดี่ยวที่มีลักษณะใบยาวเรียวปลายแหลม มีสีเขียวที่อ่อนกว่าสายพันธุ์อินดิกา และใช้ระยะเวลาในการเพาะปลูกประมาณ 9-16 สัปดาห์ ปลูกง่ายชอบแสงแดดและอากาศร้อน จุดเด่นของสายพันธุ์นี้คือมีสาร THC หรือสารเมาที่สูงกว่าสายพันธุ์อินดิกา จึงมีสรรพคุณที่กระตุ้นระบบประสาทให้มีความรู้สึกกระตือรือร้น อารมณ์ดี และช่วยให้จิตใจสงบ เป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มศิลปิน นักดนตรี นักเขียน และนักปรัชญา

2. อินดิกา (Cannabis Indica)
ตั้งชื่อโดยนักชีววิทยาศาสตร์และทหารแห่งกองทัพฝรั่งเศสนามว่า “ฌอง แบบติสท์ ลามาร์ค (Jean Baptiste Lamarck)” โดยเขาได้ตั้งชื่อตามแหล่งกำเนิดที่ค้นพบพืชกัญชาสายพันธุ์นี้คือในประเทศอินเดีย และได้เริ่มเรียบเรียงเพื่อตีพิมพ์เกี่ยวกับสาระความรู้ของพืชกัญชาสายพันธุ์นี้เพื่อให้ทุกคนได้รู้จักใน พ.ศ. 2328 ซึ่งหลังจากการตีพิมพ์บทความให้ความรู้ทำให้พบว่า สายพันธุ์นี้ยังสามารถพบได้ทั่วบริเวณของพื้นที่ในแถบตะวันกลางด้วย

ลักษณะของสายพันธุ์อินดิกา มีความสูงประมาณ 180 เซนติเมตร มีใบเดี่ยวลักษณะค่อนข้างกว้างและสั้น มีสีเขียวเข้มมากกว่าสายพันธุ์ซาติวา มีกิ่งก้านที่แตกออกมาเป็นพุ่มหนาสวยงาม เติบโตได้ดีในที่ร่มและมีอากาศค่อนข้างเย็น ใช้ระยะเวลาในการเติบโตประมาณ 6-8 สัปดาห์ โดยสายพันธุ์อินดิกาที่เติบโตในที่ร่มนี้ ทำให้ผลิตสาร THC ได้ไม่สูงนัก เพราะสาร THC จะมีปริมาณมากเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงแดด แต่อินดิกามีความโดดเด่นที่สาร CBD หรือสารต้านเมา ที่มีฤทธิ์ระงับอาการอักเสบ และอาการปวดได้ดี รวมไปถึงยังช่วยระงับประสาทช่วยให้จิตใจมีความสงบ และทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายได้รับการผ่อนคลาย

3. รูเดอราลิส (Cannabis Ruderalis)
นี่คือสายพันธุ์ที่นิยมนำไปผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างซาติวาและอินดิกา เพื่อให้ได้สรรพคุณทางยาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยสายพันธุ์กัญชานี้ค้นพบโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวรัสเซียนามว่า “ดี.อี.จานิสเชสกี้ (D.E. Janischewsky)” ในปี พ.ศ. 2467 โดยมีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณภาคตะวันออกและภาคกลางของทวีปยุโรป

ลักษณะของสายพันธุ์รูเดอราลิสสามารถสังเกตและแยกสายพันธุ์ได้ง่าย เนื่องจากมีลำต้นที่เตี้ยกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ บางข้อมูลบอกว่ามีลักษณะคล้ายกับวัชพืช มีใบเดี่ยวกว้างและมีเพียง 3 แฉก มีจุดเด่นอยู่ที่เจริญเติบโตได้เร็ว และทนต่อทุกสภาพอากาศ ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็น สายพันธุ์จะให้ปริมาณสาร THC น้อยเมื่อเทียบกับซาติวาและอินดิกา แต่จะมีปริมาณสาร CBD อยู่สูงกว่า จึงมีความนิยมนำมาผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อใช้ประโยชน์ในการรักษาทางการแพทย์

จะเห็นได้ว่าถึงแม้เราจะมีกัญชาสายพันธุ์หลักอยู่ 3 สายพันธุ์ แต่ 1 ใน 3 สายพันธุ์นั้น ก็มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการวิจัยเพื่อนำไปผสมข้ามสายพันธุ์ หรือ Hybrid เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในอนาคตเราจะได้พบกับสายพันธุ์ใหม่ และสรรพคุณทางใหม่ ๆ ที่เกิดจากการทดลองข้ามสายพันธุ์นี้อีกมากมาย ขอเพียงเราศึกษาข้อบ่งใช้ต่าง ๆ ของยาเสริมเหล่านี้เข้าใจ เพื่อประสิทธิภาพทางการรักษา และเพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง